ภาคผนวกของหนังสือ “ขอบฟ้าปรัชญา” ที่กำลังจะออกมาเร็วๆนี้ครับ
***
ภาคผนวก
ปรัชญากับสังคมไทย พ.ศ. 2557
หนังสือ “ขอบฟ้าปรัชญา: ความรู้ ปรัชญา และสังคมไทย” เขียนขึ้นมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว จริงๆนานกว่านั้นเพราะผมเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงๆจังและได้รับทุนวิจัยให้ทำงานเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 หรือ 2536 ตั้งแต่ผมเริ่มงานที่จุฬาฯใหม่ๆ กว่าหนังสือจะเขียนเสร็จก็ปี 2540 เราคงจำกันได้ว่าปี 2540 เป็นปีสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ เพราะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และเกิดขบวนการที่นำไปสู่การปฏิรูปการเมืองตลอดจนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญไปจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าเป็นอย่างมาก และในบทสุดท้ายของหนังสือผมก็ได้เขียนเกี่ยวกับความสำคัญของวิชาปรัชญาต่อสังคม และเน้นหนักไปที่เหตุการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นในปีนั้น ซึ่งได้แก่วิกฤตเศรษฐกิจกับการปฏิรูปการเมือง
เมื่อหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม เหตุการณ์ก็ผ่านไปกว่าสิบเจ็ดปี ในระหว่างนั้นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล และในปี 2557 นี้เราก็กลับมาพูดกันเรื่องปฏิรูปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้บอกว่าจะปฏิรูปในทุกๆด้าน มีการตั้งสภาปฏิรูปอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์สำคัญในปี 2557 นี้ก็คือว่า เกิดการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งนำไปสู่การแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กับสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทั้งนี้เหมือนกับว่าเมื่อใดที่ประเทศไทยเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองหรืออื่นๆ ก็จะตามมาด้วยความต้องการปฏิรูปทั้งสิ้น ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยก็คือว่า เราไม่เคยผ่านวิกฤตการณ์ใหญ่ๆที่สั่นสะเทือนและทำลายล้างสถาบันต่างๆแบบที่ประเทศอื่นๆที่แวดล้อมเราอยู่ต่างก็ประสบมา ตัวอย่างเช่นประเทศเวียตนาม ระบบจักรพรรดิของเวียตนามถูกทำลายโดยฝรั่งเศส ที่มายึดครองเวียตนามเป็นอาณานิคม ต่อจากนั้นก็มีสงครามโลกครั้งที่สอง ตามด้วยสงครามระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศส การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ สงครามกับสหรัฐ ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ระหว่างระบอบเดิมของเวียตนามที่มีจักรพรรดิ มาจนถึงระบอบปัจจุบันที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ผมจำได้ว่าเมื่อตอนเดินทางไปประชุมที่เมืองเว้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าสมัยยังมีจักรพรรดิ ปรากฏว่าวังของจักรพรรดิโดนทำลายจนเหลือแต่ฐานราก ตำหนักต่างๆถูกทำลายราบเรียบ เพราะตอนทำสงครามกับสหรัฐ ทหารเวียตกงเอาวังจักรพรรดิเป็นฐานที่มั่น เลยถูกสหรัฐถล่มด้วยระเบิดจนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้รัฐบาลเวียตนามก็ยังเก็บรักษาซากนี้เอาไว้ พอเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเก่าๆ และตระหนักถึงพิษภัยของสงคราม สาเหตุที่ผมเอาเรื่องนี้เล่าก็เพราะว่า สถานการณ์ในประเทศเวียตนามแตกต่างจากของไทยอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ พระราชวังต่างๆของไทยยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ นอกจากนั้นพิธีกรรมต่างๆในราชสำนักก็ยังคงอยู่เกือบทั้งหมด ไม่ได้สูญหายไปไหน ไม่เหมือนกับของเวียตนามที่ทุกอย่างในพระราชวังของจักรพรรดิสูญสิ้นไปหมดแล้ว การที่พิธีกรรมและพระราชวังเก่าของเวียตนามสูญสิ้นไปหมด ทำให้คนเวียตนามต้องสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ ระบบต่างๆ รวมไปถึงความคิด ความเชื่อ ก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ในสถานการณ์แบบของเวียตนามนี้หากจะ “ปฏิรูป” อะไร ก็ทำได้โดยไม่ต้องมีอุปสรรคขัดขวางที่เป็นแรงต้านทานจากระบอบเก่า เพราะไม่มีระบอบเก่าอีกแล้ว แต่ในประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น สถาบันต่างๆรวมทั้งความคิดความเชื่อดั้งเดิมต่างก็อยู่มาได้จนถึงปัจจุบันอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน ดังนั้นหากจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศไทยอย่างถอนรากถอนโคน ก็จะทำได้ยากมากๆเพราะอดีตมีพลังแรงมากๆ ที่กล่าวนี้ไม่ได้จะบอกว่าอดีตเป็นของดีหรือไม่ดี บางอย่างจากอดีตก็เป็นของดี บางอย่างก็ไม่ค่อยดี แต่ผมอยากจะเน้นประเด็นว่าการปฏิรูปอะไรก็ตามในประเทศไทย จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพการณ์ที่ประเทศไม่เคยอยู่ในสภาวะสงครามใหญ่ที่ทำลายระบอบเก่าลงโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามจะต้องกินเวลายาวนาน เพราะต้องรอให้สถาบันดั้งเดิมต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ปรับตัวตามไปด้วย
ตัวอย่างของสถาบันในประเทศที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาเลยเป็นเวลาหลายร้อยปี ก็คือสถาบันสงฆ์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาบันสงฆ์เกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชการที่ 5 เมื่อสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงปฏิรูประบบการศึกษาของคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ และรวบรวมอำนาจในการบริหารคณะสงฆ์มาไว้ที่ส่วนกลาง หลังจากนั้นก็ไม่มีการปฏิรูปอะไรอีก การศึกษาของคณะสงฆ์ก็ยังเป็นไปตามหลักสูตรที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าทรงวางเอาไว้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับปี 2484 กับ 2505 ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในสาระสำคัญ เพียงแต่กำหนดวิธีการได้มาซึ่งผู้ทรงอำนาจในการบริหารคณะสงฆ์เท่านั้น แต่รูปแบบการปกครองที่เป็นการรวมศูนย์อำนาจกับจัดแบ่งการปกครองเป็นมณฑลต่างๆก็ยังเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมไทยเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปตามยุคสมัย ก็เกิดความจำเป็นว่าคณะสงฆ์จะต้องเปลี่ยนและปรับตัวตามไปด้วย มิฉะนั้นแล้วคณะสงฆ์ก็จะกลายเป็นเหมือนของตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์มากขึ้นทุกที ผลของการเกิดช่องว่างระหว่างสังคมที่ก้าวรุดไปข้างหน้า กับคณะสงฆ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือจะเกิดกลุ่มทางศาสนาใหม่ๆขึ้นที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว และเข้ากันได้ดีกับสังคมสมัยใหม่ แต่กลุ่มเหล่านี้ก็เกิดความขัดแย้งกับคณะสงฆ์ที่ยังถืออำนาจปกครองแต่ผู้เดียวอยู่ เราคงทราบกันดีกว่า กลุ่มทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีใหญ่ๆคือกลุ่มวัดพระธรรมกาย กับกลุ่มสันติอโศก เราคงไม่มีเวลาพอที่จะอภิปรายรายละเอียดของลักษณะการจัดองค์กรหรือความเชื่อของสองกลุ่มนี้ เพียงแต่ผมยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อแสดงว่า เกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างคณะสงฆ์ที่มีมหาเถรสมาคมเป็นตัวแทน กับกลุ่มทางศาสนาใหม่ๆเหล่านี้ เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งกันขึ้น คณะสงฆ์ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ทำให้ในสายตาของประชาชนทั่วไปที่หวังพึ่งบริการของคณะสงฆ์ที่ตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ คณะสงฆ์ตามประเพณีนั้นห่างไกลจากชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ สถานการณ์นี้เห็นชัดเจนมากในกรณีของชนชั้นกลางในเมือง ที่เหินห่างออกจากคณะสงฆ์แบบดั้งเดิมมานานแล้ว แล้วก็หันไปหากลุ่มใหม่ๆดังกล่าวนี้ รวมทั้งกลุ่มอื่นๆที่เริ่มก่อตัวขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางศาสนาของพวกเขา อย่างไรก็ตามในเมื่อคณะสงฆ์แบบดั้งเดิมยังมีอำนาจที่ได้รับมาจากกฎหมายบ้านเมือง ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ก็เลยมีมิติของอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ แต่อย่างไรก็ตาม คนไทยมีความเป็นอัจฉริยะอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อเกิดความขัดแย้งรุนแรงครั้งใด ก็จะมีวิธีการที่จะประสานความขัดแย้งนั้น ไม่ว่าจะโยนออกไปในอนาคตให้คนในอนาคตแก้ หรือค่อยๆแก้ไปทีละขั้นๆ การปฏิรูปที่เริ่มมาตั้งแต่ 2540 มาจนถึงปัจจุบันก็อยู่ในรูปนี้ แต่ในกรณีของคณะสงฆ์ กลับดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปใดๆเกิดขึ้นช้ามากๆ จนเหมือนกับว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย สภาพเช่นนี้น่ากลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งอย่างรุนแรงได้ในอนาคตอันไม่ช้านี้
เมื่อสภาพสังคมเป็นแบบนี้ แล้ววิชาปรัชญาจะเข้ามามีบทบาทอะไร ในหนังสือผมก็ได้กล่าวไว้ว่า คุณูปการที่สำคัญของวิชาปรัชญา คือเปิดโลกทัศน์ของผู้คนให้มองเห็นว่าสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นความจริงแท้นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงทัศนคติหรือการมองโลกแบบหนึ่งที่ใช้ได้กับยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น และไม่มีใครที่จะรู้ความจริงทั้งหมด เป็นไปได้เสมอที่คนอื่นจะมีความรู้หรือความคิดเห็นดีๆในแง่มุมอื่นที่เรามองไม่เห็นหรือนึกไม่ถึง ดังนั้นการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด ถกเถียงอภิปรายร่วมกัน จึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง ข้อเสนอหลักของหนังสือ “ขอบฟ้าปรัชญา” ก็คือว่า วิชาปรัชญาไม่ใช่ศาสตร์แบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ต่างๆ เพราะวิทยาศาสตร์ต่างๆนั้นต่างก็มีขอบเขตของโลกธรรมชาติที่ตนเองศึกษา เช่นกีฎวิทยาศึกษาแมลง เป็นต้น แต่ปรัชญาไม่ใช่เช่นนั้น แต่ปรัชญาเป็นการค้นคว้าหากรอบหรือวิธีคิดที่จะมาใช้กับศาสตร์ใดๆเพื่อให้หลักประกันว่าศาสตร์เหล่านั้นเชื่อถือได้ มีหลักการเพียงพอ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ปรัชญาศึกษาว่า “ความเป็นศาสตร์” คืออะไรนั่นเอง แต่เนื่องจากการศึกษาแบบนี้เป็นการวิพากษ์ลงไปถึงเบื้องลึกที่สุดของการค้นคว้าหาความจริง ดังนั้นจึงไม่มีหลักยึดอะไรที่จะยึดไว้ก่อนได้ แบบเดียวกับที่วิทยาศาสตร์แขนงต่างมีหลักยึดตรงระเบียบวิธีที่เรียกว่า “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” ด้วยเหตุนี้ปรัชญาจึงไม่สามารถอ้างได้ว่า ตนเองมีความจริงเกี่ยวกับโลกหรือธรรมชาติไว้ในมือ การที่ปรัชญาเป็นเช่นนี้นับเป็นจุดแข็งอย่างมากของปรัชญา และก็เป็นเหตุว่าทำไมการศึกษาค้นคว้าทางปรัชญาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นการอภิปรายถกเถียงหาทางออกในด้านลึกของสิ่งต่างๆ จะทำไม่ได้อย่างเป็นระบบเลย หากไม่มีวิธีการคิดแบบปรัชญา ดังนั้นเมื่อเรากำลังประสบกับปัญหาของประเทศ ที่มาจากการเกิดช่องว่างระหว่างสถาบันจากอดีตที่ไม่เปลี่ยนแปลง กับโลกสมัยใหม่ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทางออกไม่มีทางอื่น นอกจากต้องมีนั่งคิดร่วมกัน อภิปรายร่วมกันอย่างมีพื้นความรู้ และอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งก็คือหัวใจของการคิดแบบปรัชญา
ปัญหาที่ต้องขบคิดก็คือว่า เราจะปรับเปลี่ยนสถาบันต่างๆที่มีมาแต่โบราณอย่างไร เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมสมัยใหม่? คำตอบที่เพียงพอจริงๆจะมีเนื้อหามาก ไม่สามารถเสนอได้อย่างละเอียดในภาคผนวกตรงนี้ แต่ผมอยากเสนอแนะไว้ว่า การคิดแก้ปัญหาตรงนี้ ต้องอาศัยการพิจารณาถึงคุณค่าและทิศทางที่ผู้คนในสังคมเห็นร่วมกันว่าเป็นทิศทางที่พึงปรารถนา เราไม่สามารถหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ด้วยการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และตรงนี้เองที่เป็นคุณูปการที่สำคัญยิ่งของวิชาปรัชญา
ในกรณีของปัญหาคณะสงฆ์ ก็เริ่มจากการอภิปรายกันในวงกว้างตั้งแต่เรื่องมูลฐานที่สุด คือสังคมควรมีคณะสงฆ์ไว้ทำอะไร? ศาสนามีบทบาทอย่างไรต่อสังคม? คำสอนของพระพุทธเจ้ายังมีประโยชน์อยู่หรือไม่ในสังคมปัจจุบัน? ถ้ามี แล้วสถาบันที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสั่งสอนคำสอนนี้ให้แก่ประชาชน กลับกลายเป็นสถาบันที่ไม่สามารถตอบสนองหรือไม่ทันต่อโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ แล้วจะต้องแก้ไขอะไรบ้างในสถาบันดังกล่าว เพื่อให้ภารกิจหลักอันได้แก่เผยแผ่คำสอนให้ผู้คนได้เข้าใจจริง สามารถทำได้เกิดผลจริง? สังคมปัจจุบันที่ผู้คนต่างก็มีสมาร์ทโฟน ต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ทุกเวลานาที ติดต่อกับคนอื่นๆได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้การเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผู้คนในยุคสมาร์ทโฟน มีความทุกข์ที่อยู่ในรูปแบบที่ผิดแผกไปจากความทุกข์ของคนในยุคพุทธกาลหรือไม่ อย่างไร และถ้ามีรูปแบบที่แตกต่างกันไป การปฏิบัติหน้าที่ของสงฆ์ในฐานะที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยควรจะเป็นอย่างไร? นี่คือคำถามที่ต้องการคำตอบทั้งสิ้น และการที่วิชาปรัชญาก็จะช่วยสร้างกรอบที่กำหนดว่าการอภิปรายที่ได้ผลอย่างจริงจังเป็นอย่างไร ก็นับเป็นส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมของปรัชญาอย่างชัดเจน