ความหมายของโพสนี้คือการวิเคราะห์ความหมายของคำว่า “ฉัน” อันเป็นสรรพนามบุรุษที่หนึ่งในภาษาไทย ไม่ใช่ความหมายของตัวผม ไม่ว่าตัวผมจะหมายความว่าอย่างไร สองอย่างนี้ต่างกัน เพราะความหมายของคำว่า “ฉัน” ใครๆก็วิเคราะห์ออกมาได้ เพราะเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ความหมายของตัวผม ก็คือความหมายของผู้ที่กำลังเขียนโพสอยู่นี้ ซึ่งเป็นอาจารย์ในรายวิชาปรัชญาภาษา สองอย่างนี้ต่างกัน แต่ก็เป็นเนื้อหาของเรื่องที่เขียนต่อไปนี้ด้วย
ทรรศนะของนักปรัชญาบางฝ่าย เช่นคัสตาเญดา จะถือว่าประโยคที่มีสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (หรือบุรุษที่สองหรือสาม แต่การพูดถึงบุรุษที่หนึ่งดูจะชัดและใกล้ตัวมากกว่า) จะมีความหมายบางประการที่ “ไม่สามารถลดทอนได้” ลงเป็นประโยคที่ไม่มีคำสรรพนาม ตัวอย่างก็คือ
(1) หนุนเป็นศิษย์เก่าทับแก้ว
กับ
(2) “ฉันเป็นศิษย์เก่าทับแก้ว” (ซึ่งหนุนเป็นคนพูด)
มีความหมายเหมือนกันตามทรรศนะของฝ่ายที่ถือว่า ความหมายของสรรพนาม สามารถทอนลงเป็นความหมายของคำที่ระบุถึงบุคคลคนเดียวกันกับที่สรรพนามได้ แต่ตามทรรศนะของอีกฝ่าย จะถือว่าทอนกันไม่ได้ และประโยค (1) กับ (2) ต่างกัน แม้ว่า “ฉัน” ใน (1) จะหมายถึงหนุนก็ตาม
เท่าที่จำได้ เหตุผลของคัสตาเญดาก็คือว่า ประโยค (1) นั้นมีการรวมเอา “มุมมอง” บางประการ ซึ่ง (3) ไม่มี ความหมายก็คือว่า เวลาเราสร้างประโยคที่ขึ้นต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง เช่น “ผมกำลังเขียนโพส” จะมีการใช้สิ่งที่คัสตาเญดาเรียกว่า “มุมมองของสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง” อันเป็นสภาวะอันเป็นอัตวิสัย ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการระบุถึงตัวเอง ซึ่งประโยค “โสรัจจ์กำลังเขียนโพส” ไม่มี เพราะ “โสรัจจ์กำลังเขียนโพส” มีมุมมองอีกแบบ ได้แก่มุมมองสรรพนามบุรุษที่สาม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้พูดระบุถึงอีกคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเอง ซึ่งมุมมองที่ต่างกันนี่เองที่ทำให้สองประโยคนี้ต่างกันตามทรรศนะของนักปรัชญาเช่นคัสตาเญดา
ทีนี้ ข้อวิจารณ์หนึ่งก็คือว่า เจ้ามุมมองที่ว่านี้ มีบทบาทอย่างไรในความหมายของประโยค ไม่ว่าจะเป็น “ฉันกำลังเขียนโพส” หรือ “โสรัจจ์กำลังเขียนโพส” ทั้งสองประโยคนี้ระบุถึงสถานการณ์เดียวกัน และเป็นจริงกับเป็นเท็จไปด้วยกัน เพราะจริงๆแล้ว ผมกำลังเขียนโพสนี้จริงๆ ดังนั้นทั้งสองประโยคนี้เป็นจริงพร้อมกันทั้งคู่ (และก็เป็นเท็จพร้อมกันด้วย) ตามภาษาตรรกวิทยา ก็จะเรียกว่า ทั้งสองประโยคนี้ “สมมูล” (equivalent) กัน นั่นคือสองประพจน์นี้ความหมายเหมือนกัน ต่างจากทรรศนะของคัสตาเญดา
เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งในปรัชญา แล้วขอให้เราอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องวงในของการถกเถียงกันเรื่องความหมายของสรรพนามเท่านั้น แท้จริงแล้วปัญหานี้สำคัญมากๆในปรัชญาทั้งหมด ที่เกี่ยวกับมุมมองและปัญหาโดยรวมของความเป็นอัตวิสัยกับความเป็นภววิสัย ที่สำคัญมากๆก็คือ เรามีปัญหาเกี่ยวกับ “อภิปรัชญาของสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง” ซึ่งได้แก่การศึกษาความเป็นจริงของที่เรียกว่า “ตัวฉัน” ว่า สภาวะที่เป็นอัตวิสัยนี้แท้จริงแล้วมีอยู่จริงๆหรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ดูเหมือนว่ามีจริงเพราะเรามีคำเรียก (เช่น “ฉัน”) แต่จริงๆแล้วไม่มีอยู่จริง
เรื่องนี้ยังเกี่ยวกับปรัชญาของพระพุทธศาสนาด้วยโดยตรง คำสอนหลักของพระพุทธเจ้าได้แก่ ที่เราเข้าใจว่าเป็น “ตัวเรา” หรือ “ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” นั้น ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ประโยค “กูสนุกจังโว้ย!” ก็เป็นผลของภาพลวงตา เพราะไม่มี “ตัวกู” ให้สนุก การคิดเช่นนี้เป็นเพียงผลของการเข้าใจความเป็นจริงผิดพลาดเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมหมายความว่า ตามปรัชญาพระพุทธศาสนา ประโยคใดๆก็ตามที่มีสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (และก็หมายถึงบุรุษที่สองกับสามด้วยโดยการอนุมาน) สามารถลดทอนลงไปได้เป็นประโยคที่ไม่มีสรรพนามได้ทั้งสิ้น
เรื่องเหล่านี้ยากมากๆ เอาไว้เราจะพูดเรื่องนี้กันในชั้น ในวันพรุ่งนี้