การบรรยายของโคล้ด มันจ็อน (Claude Mangion) ที่ The Reading Room Bangkok เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจบลงไปด้วยดี มีคนฟังมามากเกินคาด ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเพราะหัวข้อในการบรรยายเป็นเรื่องยาก อาจารย์โคล้ด มันจ็อนเป็นหัวหน้าภาควิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยมอลต้า ประเทศมอลต้าเป็นเกาะเล็กๆอยู่กลางทะเลเมดิเตอเรเนียน ไม่ไกลจากเกาะซิซิลีของอิตาลี ผมเคยไปร่วมทำกิจกรรมทางวิชาการที่นี่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้ทุนสนับสนุนจากโครงการ Erasmus Mundus ของสหภาพยุโรป ซึ่งก็เป็น อ. โคล้ดที่เชิญผมไป และในครั้งนี้อาจารย์ก็เดินทางมาเมืองไทยด้วยทุนจากโครงการ Erasmus เช่นเดียวกัน นับว่าไทยเป็นหนี้สหภาพยุโรปที่ให้การสนับสนุนให้อาจารย์เดินทางมาให้ความรู้แก่พวกเราในเมืองไทยในครั้งนี้ แล้วก็ขอขอบคุณคุณเกี๊ยวนราวัลลภ์ที่กรุณาเอื้อเฟื้อสถานที่เป็นอย่างดี
หัวข้อในการบรรยายของโคล้ดได้แก่ “ความหมายของความเป็นอมตะและการเกิดใหม่ในปรัชญาของก็องแต็ง เมยาซู” ก็องแต็ง เมยาซู (Quentin Meillassoux) เป็นนักปรัชญาฝรั่งเศสที่กำลังมีชื่อเสียงมากขึ้น จากงานที่แหวกแนวไม่เหมือนกับปรัชญาฝรั่งเศสทั่วๆไป โดยงานของเขาเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘speculative realism’ หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “สัจนิยมแบบคาดคะเน” ที่มาที่ไปของแนวคิดนี้ก็คือว่า ปรัชญาของภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งแต่ปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology) ของฮุสเซิร์ลเป็นต้นมา จะถือว่าต้องมีตัวกลางระหว่างผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้เสมอ ทรรศนะดังกล่าวนี้มีที่มาจากปรัชญาของอิมมานุเอล คานท์ ที่ถือว่าโลกธรรมชาติในตัวมันเอง เป็นอะไรที่เราไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง เราจะรับรู้โลกได้ก็ต่อเมื่อผ่านกลไกการรับรู้ที่กรองเอาความรู้ของเราให้เป็นไปตามกลไกดังกล่าว และเราไม่สามารถเข้าไปรับรู้โดยตรงได้ว่าโลกที่ไม่ได้ผ่านการกรองของกลไกการรับรู้นั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นในความคิดของคานท์กลไกการรับรู้ดังกล่าวนี้จึงทำงานเป็นตัวกลางระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ฮุสเซิร์ลก็ถือว่าการรับรู้โลกต้องผ่านมุมมองของผู้รับรู้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ของบุรุษที่หนึ่ง (“ฉัน”) เสมอ นอกจากนี้ปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรปอื่นๆ เช่นศาสตร์แห่งการตีความ (hermeneutics) หรือหลังสมัยใหม่นิยม (postmodernism) ก็ถือว่ามีตัวกลางเช่นเดียวกัน ซึ่งได้แก่ภาษาหรือความหมาย ตัวอย่างก็คือ เราไม่สามารถรับรู้โต๊ะได้โดยตรง แต่สิ่งที่เราเห็นเบื้องหน้าคือความหมายของคำว่า “โต๊ะ” ในภาษาไทย ซึ่ง hermeneutics กับ postmodernism (โดยเฉพาะ poststructuralism) มีทรรศนะที่แตกต่างกันว่าความหมายดังกล่าวนี้คืออะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็ถือตรงกันว่าความหมายเป็นตัวกลางระหว่างผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ (ได้แก่ตัวโต๊ะที่ทำจากไม้ ไม่ใช่แค่ความหมายของภาษาหรือภาษาเอง) เมยาซูกับกลุ่มสัจนิยมคาดคะเนไม่เห็นด้วยกับประเพณีความคิดเช่นนี้ และพยายามแสวงหาวิธีการเข้าถึงสิ่งในตัวเองโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ ชื่อแนวคิด ‘speculative realism’ มีที่มาจากการประชุมวิชาการที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมสำคัญๆคือ Ray Brassier, Iain Grant, Graham Harman และเมยาซูเอง ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นกว้างๆร่วมกันว่าประเพณีการเข้าถึงความเป็นจริง่ผานตัวกลาง เป็นความคิดที่เขาไม่เห็นด้วย และพยายามหาทางแก้ไข
นอกจากนี้เมยาซูเองก็มีความคิดทางปรัชญาว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่บังเอิญ ซึ่งความคิดนี้เป็นการปฏิเสธความคิดดั้งเดิมในปรัชญาตะวันตก ที่บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุ ซึ่งการมีสาเหตุก็อาจตีความไม่ได้ว่าจะต้องเกิดขึ้นโดยจำเป็น (ไม่บังเอิญ) ความคิดของเมยาซูพูดอีกอย่างได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีสิ่งใดเกิดข้นโดยจำเป็น ก็หมายความว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ โลกเป็นสภาวะเปิดกว้าง และการเป็นสภาวะเปิดกว้างนี้เองที่เป็นจุดตั้งต้นของความคิดของเขาเกี่ยวกับปรัชญาศาสนา ซึ่งเป็นหัวข้อการบรรยายของโคล้ด มันจ็อนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่มาของความคิดนี้ของเมยาซูก็มาจากปรัชญาของเดวิด ฮิวม์ ซึ่งทำให้แนวคิดของเมยาซูมีส่วนคล้ายคลึงมากกับปรัชญาของประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เดินตามฮิวม์เช่นเดียวกัน ทรรศนะหลักของฮิวม์ก็คือว่า เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าโลกนี้มีความจำเป็น เราไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่นอนว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นหรือเปล่า เพราะแหล่งความรู้ประการเดียวของเราที่มั่นใจได้สูงสุดคือประสาทสัมผัส และเนื่องจากเรายังไม่เห็นพระอาทิตย์จะขึ้นพรุ่งนี้ เราจะสรุปไม่ได้ว่ามันจะขึ้นหรือจะไม่ขึ้น เราทำได้แต่เพียงคาดคะเนว่ามันจะขึ้นเท่านั้น เพราะมันขึ้นมาตลอดในอดีตทุกวัน
การคิดเช่นนี้นำไปสู่การแก้ปัญหาสำคัญในปรัชญาศาสนา ได้แก่เรื่องปัญหาเรื่องความชั่วร้าย (ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เกี่ยวกับแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล) ลักษณะเด่นอีกประการของเมยาซูก็คือว่า เขาสนใจที่จะพูดถึงศาสนาในขณะที่นักปรัชญาคนอื่นๆก่อนหน้าในภาคพื้นทวีปยุโรปก่อนหน้าเขาไม่สนใจที่จะพูดเรื่องศาสนาหรือเรื่องพระเจ้าเลย ปัญหาเรื่องความชั่วร้ายเป็นปัญหาสำคัญที่มีประวัติยาวนานในโลกตะวันตก ตามความเชื่อของชาวคริสต์ พระเจ้าเป็นผู้ทรงสรรพพลานุภาพ คือทำอะไรได้ทุกอย่าง และยังเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาสูงสุด หากพระเจ้าเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดจึงมีความชั่วร้ายอยู่ในโลก? ความชั่วร้ายแบ่งเป็นสองแบบคือความชั่วร้ายตามธรรมชาติ เช่นภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว คลื่นสุนามิ ฯลฯ กับความชั่วร้ายที่มนุษย์ทำ เช่นสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำรัฐประหาร ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้ายแบบไหน ก็มีปัญหาว่าเหตุใดพระเจ้าจึงปล่อยให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ทั้งสิ้น หากพระเจ้าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้ ก็มีปัญหาว่าพระเจ้ารักโลกกับรักมนุษย์จริงหรือไม่ แล้วจะเป็นพระเจ้าที่มนุษย์ยึดมั่นศรัทธาได้อย่างไร แต่หากพระเจ้าไม่สามารถป้องกันได้ ก็มีปัญหาว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสรรพพลานุภาพจริง แล้วจะเป็นพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไร
วงการคริสตศาสนาโดยทั่วไปจะตอบว่า ในกรณีของความชั่วร้ายของมนุษย์ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้มีเสรีภาพ ดังนั้นหากมนุษย์คนหนึ่งจะสร้างความชั่วร้ายต่างๆนานา ก็เป็นเสรีภาพของมนุษย์คนนั้นเองที่จะทำ พระเจ้าเพียงแต่สร้างมนุษย์ให้มีความสามารถเช่นนี้เท่านั้น การคิดแบบนี้ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่า หากคนๆหนึ่งใช้เสรีภาพไปในทางที่ก่อความชั่วร้าย แล้วพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในท้ายที่สุด แล้วเราจะนับถือพระเจ้าไปได้อย่างไร เพราะเราจะนับถือหรือเกรงกลัวพระเจ้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ก็ต่อเมื่อพระเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเท่านั้น การที่พระเจ้าให้มนุษย์เป็นผู้เลือกเองดูเหมือนกับว่า พระเจ้าละทิ้งภารกิจในการดูแลโลกมนุษย์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันเอง แล้วหากมนุษย์เลือกที่จะไม่นับถือพระเจ้าเพราะเหตุนี้ จะทำอย่างไร ส่วนในกรณีของความชั่วร้ายจากภัยธรรมชาติ มีนักปรัชญาคนหนึ่งคือก๊อตฟริต ไลบ์นิซ เสนอว่าโลกนี้เป็นโลกที่ดีที่สุด พระเจ้าไม่สามารถจะสร้างโลกที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ภัยพิบัติต่างๆ เช่นแผ่นดินไหวหรือคลื่นสุนามิ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้าที่จะสร้างโลกนี้ให้ดีที่สุด การมีแผ่นดินไหวคือการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ซึ่งทำให้เกิดการหมุนเวียนของแร่ธาตุต่างๆจากใต้โลกขึ้นมายังบนโลก และการมีเหล็กหลอมเหลวอยู่ใต้พื้นโลกก็ยังทำให้โลกมีสนามแม่เหล็ก ทำให้ป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ได้ ผิดกับดาวอังคารที่ไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีเหล็กหลอมเหลว (หรือหากยังมีเหลือก็น้อยมาก) ทำให้ดาวอังคารได้รับรังสีอันตรายต่างๆจากดวงอาทิตย์โดยตรง และยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ดังนั้นที่เรามองว่าเป็นภัยพิบัติหรือความชั่วร้าย แท้จริงแล้วเป็นประโยชน์ที่พระเจ้ามอบให้ต่างหาก อย่างไรก็ตามการมองเช่นนี้ก็มีปัญหาว่า เหตุใดพระเจ้าจึงต้องสร้างเงื่อนไขทางเลือกแบบนี้ขึ้นมาด้วย หากพระเจ้าทำทุกอย่างได้จริง ทำไมจึงไม่สร้างโลกขึ้นมาให้ปลอดจากรังสีต่างๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องมีแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดด้วย
ข้อเสนอของเมยาซูต่อปัญหาเรื่องความชั่วร้ายเป็นข้อเสนอที่ใหม่มากและไม่มีใครเคยเสนอแบบนี้มาก่อน แทนที่เขาจะเสนอว่าพระเจ้าดำรงอยู่มาตลอดเป็นนิรันดร์แบบที่ศาสนาคริสต์เชื่อ เมยาซูกลับเสนอว่าในเวลานี้พระเจ้ายังไม่มีอยู่ แต่เป็นไปได้ที่ในอนาคตจะปรากฏมีพระเจ้าขึ้น การที่เขาเสนอแบบนี้ก็ตรงกับแนวคิดหลักของเขาที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ เมยาซูอ้างอิงถึงทรรศนะของกรีกโบราณที่ถือว่ามีโลกซ้อนกันสามโลก ได้แก่โลกของสิ่งไม่มีชีวิต โลกของสิ่งมีชีวิต และโลกของมนุษย์ แล้วเขาก็เสนอโลกขึ้นมาใหม่อีกโลกหนึ่ง คือ “โลกแห่งความยุติธรรม” โดยในโลกนี้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นโดยไม่ยุติธรรมจะได้รับการแก้ไขทำให้เกิดเป็นความยุติธรรมขึ้น เขาสนใจการตายอย่างไม่ยุติธรรมเป็นพิเศษ เช่นเด็กที่ต้องตายไปอย่างไม่มีเหตุผล คนที่ถูกกลั่นแกล้งจนถึงแก่ความตาย คนที่ขาดโอกาสที่ตนควรจะได้รับในชีวิต แต่กลับมาตายเสียก่อน ฯลฯ คนเหล่านี้จะเป็นไปได้ว่าจะเกิดใหม่ในโลกที่สี่แห่งความยุติธรรมนี้ ทั้งนี้การเกิดขึ้นของโลกที่สี่กับการเกิดใหม่ของคนที่ตายไปโดยไม่ยุติธรรมเช่นนี้ จำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีอำนาจเทียบเท่าพระเจ้า ดลบันดาลให้เกิดขึ้นมา ทั้งหมดนี้เมยาซูเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้อย่างที่ได้เสนอไว้ก่อนหน้า การเกิดใหม่ของผู้ที่ถึงแก่ความตายอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ก็จะเป็นการเกิดใหม่แบบยังคงร่างกายเดิม เหมือนคนที่นอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา ความทรงจำต่างๆก็จะยังอยู่ แล้วก็สำนึกว่าตนเองได้รับโอกาสใหม่ในการดำรงอยู่ และผู้ที่ใช้อำนาจเทียบเท่าพระเจ้านี้ก็จะไม่ทำตนเป็นพระเจ้า คืออยู่บนสวรรค์แล้วปกครองโลกมนุษย์ แต่ก็จะเป็นมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์คนอื่นๆทั้งหมด
ข้อเสนอนี้ของเมยาซูเป็นการแก้ปัญหาความชั่วร้ายได้เพราะว่า เมื่อในเวลานี้พระเจ้ายังไม่ได้มีอยู่ ก็เลยไปโทษพระเจ้าไม่ได้ว่าได้สร้างโลกที่มีความชั่วร้ายขึ้นมา ตามทรรศนะของเมยาซู พระเจ้าไม่ได้มีอยู่ในวลานี้ แต่อาจจะมีขึ้นมาในอนาคตก็ได้ ข้อเสนอนี้ขัดแย้งกับข้อเสนออันมีชื่อเสียงของฟรีดริค นิตเชที่บอกว่าพระเจ้าตายแล้ว ตามความคิดของนิตเช พระเจ้าเคยมีอยู่ในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้ไม่มีพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ข้อเสนอของเมยาซูก็คือว่า เวลานี้ไม่ได้มีพระเจ้าอยู่ แต่พระเจ้าอาจกิดขึ้นมาในอนาคตก็ได้ การคิดเช่นนี้ทำให้เรามีความหวัง หวังว่าโลกในอนาคตจะมีความยุติธรรมและทำให้ความฝันความปรารถนาของเราเป็นจริงมากกว่าโลกที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ดังนั้น ตามทรรศนะของเมยาซูการที่โลกนี้มีความชั่วร้ายทั้งสองแบบอยู่ ก็เป็นเพราะว่ามีคนที่ตั้งใจทำความชั่วร้าย และโลกของเราเองก็ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงภัยต่างๆอยู่ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ในเมื่อยังไม่มีพระเจ้า ก็ไม่มีปัญหาเรื่องความชั่วร้ายในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตามทรรศนะของเมยาซูแตกต่างจากทรรศนะของฝ่ายสสารนิยมที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดมีพระเจ้า หรือผู้ที่ใช้อำนาจเทียบเท่าพระเจ้าขึ้น และผู้นี้เองที่จะเป็นผู้แก้ไขความผิดพลาดทั้งมวล โดยเฉพาะความชั่วร้ายที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งได้ทำลายความยุติธรรมลงไป ปัญหาเรื่องความชั่วร้ายอาจมีอยู่ในปัจจุบัน แต่เป็นไปได้ว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคต