ผมท่องบล๊อกต่างๆใน wordpress แล้วบังเอิญเจอรูปนี้ ซึ่งแสดงความแตกต่างระหว่างตรรกะสองแบบ คือตรรกะแบบธรรมดา กับตรรกะแบบศาสนา น่าสนใจดี…
ถ้าภาพเล็กไป ต้องคลิกที่ชื่อของโพส เพื่อเปิดโพสนี้โดยตรง จะให้ภาพใหญ่ขึ้นมาก
ผมท่องบล๊อกต่างๆใน wordpress แล้วบังเอิญเจอรูปนี้ ซึ่งแสดงความแตกต่างระหว่างตรรกะสองแบบ คือตรรกะแบบธรรมดา กับตรรกะแบบศาสนา น่าสนใจดี…
ถ้าภาพเล็กไป ต้องคลิกที่ชื่อของโพส เพื่อเปิดโพสนี้โดยตรง จะให้ภาพใหญ่ขึ้นมาก
This is so so funny, esp. the furious, bigger face with those teeth. It may be regarded offensive though (to whom it’s applicable). Above all, I think strong verificationism against religion is somehow fallacious.
สำหรับผู้ที่อาจจะยังไม่ get เรื่องของการ์ตูนนี้อยู่ที่ความแตกต่างระหว่างตรรกะธรรมดา กับ “ตรรกะ” ของผู้ที่เชื่อว่าความจริงทางศาสนาเข้าถึงได้โดยไม่ต้องใช้เหตุผล ในตรรกะธรรมดา เมื่อคนหนึ่งบอกว่า “ฉันมีลูกเบสบอล” แล้วอีกคนถามว่า “ไหนพิสูจน์ซิ!” คนแรกก็หยิบลูกเบสบอลมาให้ดู อีกคนก็พอใจ แต่ในกรณีของศาสนา คนแรกบอกว่า “ฉันมีลูกเบสบอล” อีกคนถามว่า “ไหนพิสูจน์ซิ!” คนแรกกลับโกรธเป็นการใหญ่ (อย่างที่เห็นในการ์ตูน) ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “แล้ว (มึง) พิสูจน์ได้มั้ยว่า (กู) ไม่มี!” อีกคนก็พูดออกมาเบาๆว่า “WTF” ซึ่งเป็นคำย่อของประโยค “What the fuck?”
ทั้งหมดนี้มาจากกรณีการพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าจริง ฝ่ายที่ขอให้ฝ่ายที่เชื่อพระเจ้าพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริงๆ ถามว่า “ไหนพิสูจน์ซิ!” ฝ่ายเชื่อพระเจ้าก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง และข่มขู่ว่า “แล้ว (มึง) พิสูจน์ได้มั้ยว่าพระเจ้าไม่มี!!!”
ชอบมากครับ…………
แต่จะว่าไป ตรรกะ แบบศาสนาก็ไช้ได้นะครับถ้าไม่นับว่าการ์ตูนเอามาล้อ
เพราะว่าคนถามอาจจะถามผิดประเภท ที่เนื้อหาทางศาสนาอาจไม่ใช่ของที่ต้องพิสูจน์
แต่ปัญหามันก็ยังมีอยู่ว่า การพิสูจน์ไม่ได้ว่ามี ไม่ได้หมายว่าว่า สิ่งนั้นจะมีไปด้วย
ก็กลายเป็น begging the question
……..
แต่ลงท้าย การถามด้วย begging the question ก็เป็นการถามแบบ conventional logic
ตกลงมีตรรกสองแบบรึเปล่า…………..
ไม่รู้สิครับ