การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มบทบาทนำในการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมในปัจจุบันและอนาคต
โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
ทุกคนทราบดีว่าสังคมไทยในปัจจุบันกำลังเต็มไปด้วยความขัดแย้งในด้านต่างๆ ทั้งทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา และอื่นๆอีกมาก จนอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีส่วนใดเลยของสังคมไทยที่ปลอดจากความขัดแย้ง ความขัดแย้งนี้มีรากฐานที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างขนานใหญ่ อันเป็นผลจากแนวนโยบายภาครัฐที่มุ่งลดช่องว่างระหว่างคนในเมืองกับคนชนบท รวมถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการผูกพันระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เข้ากับระบบโลกาภิวัตน์ ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือคนในชนบทเริ่มมีรายได้ มีสถานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ชาวไร่ชาวนาที่เคยมองกันว่าเป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่กับท้องไร่ท้องนาและไม่มีโอกาสอย่างอื่นในชีวิต ก็กำลังกลายเป็น “ผู้ประกอบการเกษตร” ซึ่งมีการศึกษามากขึ้น รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น รู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเช่นเทคโนโลยีสารสนเทศ มีลูกหลานไปเรียนในเมือง กลายเป็นคนเมือง และตนเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในสองโลกคือทั้งในชนบทกับในเมือง และที่น่าสนใจมากคือมีความตื่นตัวทางการเมือง รู้จักเรียกร้องสิทธิอันควรได้ของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้กินรวมไปถึงทุกส่วนของสังคม และเราก็อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยการมองว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนจากการเป็น “สังคมแนวตั้ง” (vertical society) อันประกอบด้วยระบบชนชั้น ผู้คนที่แบ่งตัวเองออกตามระดับชั้นสูงต่ำ ดังที่คนไทยรู้จักกันดี มาเป็น “สังคมแนวนอน” (horizontal society) ซึ่งไม่มีการแบ่งตัวเองตามระดับสูงต่ำ แต่มีจิตสำนึกว่าทุกคนมีสถานะทางสังคมเท่ากันในฐานะพลเมืองของประเทศ
การเปลี่ยนแปลงนี้กินเวลายาวนาน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับรากลึกที่สุดของประเทศ เพียงแต่ว่าเกิดขึ้นในประเทศไทยช้ากว่าที่อื่นๆในโลก และการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นธรรมอยู่เองที่จะประสบกับแรงต้านมาก การปะทะกันระหว่างพลังที่มุ่งเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า กับพลังที่มุ่งรักษาสถานภาพเดิมของสังคมเอาไว้ ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากรุนแรงนี้ เป็นที่น่าสนใจยิ่งว่าบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรจะเป็นอย่างไร บทความนี้ก็จะมุ่งตอบคำถามนี้ และเสนอว่ามหาวิทยาลัยต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรรวมทั้งวัฒนธรรมองค์กรอย่างขนานใหญ่ เพื่อให้สามารถรักษาความเป็นผู้นำและคงภารกิจของการเป็นผู้ชี้ทางออกให้แก่สังคมได้ในท่ามกลางภาวะการเปลี่ยนผ่านและเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงนี้
ด้วยเหตุนี้ภารกิจที่มหาวิทยาลัยต้องทำ คือทำความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมรวมทั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างละเอียด เป็นระบบ และเป็นไปตามหลักวิชาการ เพื่อให้สามารถอธิบายสาเหตุความเป็นมา ที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้ง ตลอดจนบรรยายสภาพลักษณะของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและเป็นกลาง ภารกิจนี้แตกตัวออกได้เป็นการเรียนการสอนหรือการจัดหลักสูตรกับการวิจัย ซึ่งควรจะไปด้วยกัน ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด และนอกจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ยากที่จะมีองค์กรหรือสถาบันอื่นมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ จริงอยู่ประเทศไทยมีสถาบันวิจัยอิสระ เช่นสถาบันพระปกเกล้า หรือสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย แต่สถาบันเหล่านี้ขาดปัจจัยหลักที่มีแต่ในมหาวิทยาลัย คือบรรยากาศความเป็นชุมชนทางวิชาการ อันประกอบด้วยการเรียนการสอนที่ทำให้นิสิตกับอาจารย์มาอยู่ด้วยกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และอีกประการหนึ่งพลังการสร้างสรรค์ความรู้ความเข้าใจจะมีในมหาวิทยาลัยมากกว่าในสถาบันวิจัยอิสระ เนื่องจากมีคณาจารย์จำนวนมากกว่าจากหลากหลายสาขาวิชา ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างถูกต้องแล้วสามารถเป็นพลังในการแก้ปัญหาให้แก่สังคมได้อย่างมหาศาล การมีนิสิต การมีภารกิจในการเรียนการสอน กับการมีคณาจารย์หลากหลายสาขาวิชานี้เองที่เป็นจุดแข็งของมหาวิทยาลัยในการสร้างความรู้เพื่อแก้ปัญหาให้แก่สังคมได้ดีกว่าสถาบันวิจัยอิสระ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ภารกิจในด้านการวิจัยหรือสร้างความรู้ตรงนี้เป็นไปได้จริง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงานและการบริหารจัดการด้านต่างๆโดยเฉพาะบุคคลกับวิชาการอย่างขนานใหญ่ ปัญหาสำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัยในขณะนี้คือ มีการแบ่งออกเป็นส่วนงานต่างๆมากเกินไป ซึ่งอาจมีที่มาจากประวัติศาสตร์ที่เกิดจากการที่ต่างคนก็อยากมีหน่วยงานเป็นของตนเอง และวัฒนธรรมโบราณที่ฝังรากกันมาว่าเมื่อเกิดหน่วยงานขึ้นมาแล้วไม่สามารถยุบหรือเปลี่ยนแปลงใดๆได้ แต่ปัญหาของโลกกับของประเทศนั้น ไม่ได้แบ่งตัวเองออกเป็นคณะต่างๆตามที่มหาวิทยาลัยได้แบ่งตัวเองอยู่ ปัญหาเช่นความขัดแย้งระหว่างพลังอนุรักษ์นิยมที่ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง กับพลังที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องของคณะใด หรือสถาบันใดโดยเฉพาะ เพราะเนื้อหาของความขัดแย้งเหล่านี้กินตัวไปในทุกๆส่วนของสังคมดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หากมีการศึกษาความขัดแย้งเดียวกันนี้แยกไปตามคณะต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามกรอบการมองของคณะเหล่านั้น แยกๆกันไป ทำให้พลังของมหาวิทยาลัยที่กล่าวถึงข้างต้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะไปแบ่งกันเองออกเป็นเรื่องของคณะหรือสถาบันต่างๆจนหมดแล้ว สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องทำคือรวมพลังทั้งมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดการร่วมมือของสาขาวิชาการทั้งหมดเพื่อมุ่งแก้ปัญหาให้แก่สังคมโดยไม่มีการคำนึงว่านี่เป็นเรื่องของสาขาวิชานั้นสาขาวิชานี้ เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เป็นเรื่องของคณะใดคณะหนึ่งโดยเฉพาะ
ตัวอย่างของความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นได้แก่เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ประเภทเครือข่ายทางสังคมเช่นเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์ ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้ และในสื่อมวลชนแขนงต่างๆก็มีการพูดถึงเรื่องเฟสบุ๊คกับทวิตเตอร์กันมากมาย ซึ่งแสดงว่าเว็บเครือข่ายทางสังคมเหล่านี้มีบทบาทและอิทธิพลสูงมากในสังคมปัจจุบัน จุดสำคัญก็คือว่าความขัดแย้งที่กำลังพูดถึงอยู่ในบทความนี้ก็ปรากฏตัวอยู่บนเฟสบุ๊คกับทวิตเตอร์อย่างชัดเจน จนอาจกล่าวได้ว่าเว็บเหล่านี้อยู่ ณ จุดศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ที่ปรากฏตัวอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่จะต้องศึกษาวิจัยและพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของสังคมที่อยากได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ โจทย์วิจัยที่เกิดขึ้นจากการใช้เว็บเครือข่ายทางสังคมก็มีเช่น เราจะหาสมดุลได้อย่างไรระหว่างระบบคุณค่าแบบเก่าที่ยังมีบางส่วนของสังคมไทยยึดถือและไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงไป กับแรงผลักดันของคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นสังคมไทยมุ่งไปอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งสองระบบนี้ขัดแย้งฟาดฟันกันอยู่ตลอดเวลาในหน้าของเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์? ความข้ดแย้งและความรุนแรง รวมทั้งการใช้กฎหมายที่มีหลายฝ่ายอ้างว่าไม่เป็นธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้ด้วย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยต้องรีบศึกษาวิจัยและการจัดหลักสูตร เพื่อหารากฐานหรือสมุหฐานของความขัดแย้งนี้ และเสนอทางออกให้แก่สังคมเพื่อให้เกิดการอภิปรายไตร่ตรองโดยพลเมืองที่ต่างมุ่งแสวงหาทางออกร่วมกัน อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แต่น่าเสียดายว่าภายใต้โครงสร้างส่วนงานของมหาวิทยาลัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การแก้ปัญหาและการเสนอทางออกดังกล่าวนี้อย่างมีพลังร่วมกันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
หากเราพิจารณาสภาพปัจจุบันของการศึกษาด้านอินเทอร์เน็ตในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะพบว่ามีหลายคณะที่ทำเรื่องนี้อยู่ เริ่มตั้งแต่ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งมีอาจารย์ที่ศึกษาเรื่องระบบเครือข่ายรวมทั้งประเด็นทางสังคมของอินเทอร์เน็ตด้วย นอกจากนี้ก็มีภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเรื่องเดียวกัน การอ้างว่าภาคหนึ่งศึกษาเรื่องฮาร์ดแวร์ อีกภาคศึกษาเรื่องซอฟท์แวร์ไม่เป็นความจริงอีกแล้ว เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถแยกทั้งสองออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด (เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของมหาวิทยาลัยมานานแต่ไม่มีใครพูด เพราะสภาพที่เป็นอยู่เท่ากับมีหลักสูตรวิชาเดียวกันคือ computer science อยู่ในสองคณะ เช่นเดียวกับที่มีหลักสูตรบริหารธุรกิจ MBA อยู่ทั้งที่คณะบัญชีฯกับสถาบันศศินทร์ ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร เกิดความซ้ำซ้อนกัน ฯลฯ เป็นอันมาก) แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่สองภาควิชานี้ที่ศึกษาเรื่องอินเทอร์เน็ต ยังมีคณะนิเทศศาสตร์ที่มองอินเทอร์เน็ตว่าเป็น “สื่อ” เลยเหมาว่าอินเทอร์เน็ตอยู่ในขอบข่ายของนิเทศศาสตร์เพื่ออ้างตัวเป็นเจ้าของ และก็ยังมีภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ที่มองอินเทอร์เน็ตว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเทคโนโลยีในการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งก็ตีความได้กว้างจนการศึกษาของสองหน่วยงานนี้คาบเกี่ยวเหลื่อมซ้อนกันเสมอๆ นอกจากนี้ก็มีภาควิชาภาษาไทยกับภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ที่มองอินเทอร์เน็ตว่าเป็นสื่อที่มีการใช้ภาษา และมุ่งศึกษาภาษาที่ใช้ในนั้น ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ภาษาก็จำเป็นต้องวิเคราะห์ความหมายและอุดมการณ์เบื้องหลังของภาษาไปด้วย ซึ่งก็ทำให้เหลื่อมทับกับการศึกษาของคณะอื่นๆเช่นนิเทศศาสตร์หรือรัฐศาสตร์หรือสังคมวิทยา ยิ่งไปกว่านั้นคณะที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องจริงๆแล้วก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์อินเทอร์เน็ต เช่นคณะพยาบาลศาสตร์ ซึ่งมีรายวิชาเกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อบริหารการพยาบาล จะเห็นได้ว่าปรากฏการณ์อินเทอร์เน็ตไม่ได้แบ่งตัวเองออกเป็นคณะๆแบบที่มหาวิทยาลัยทำ แต่เป็นมหาวิทยาลัยเองที่แบ่งหน่วยงานของตัวเองออกเป็นส่วนๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพรวมได้
ข้อเสียของการแบ่งออกเป็นหลายๆคณะก็คือทำให้โอกาสที่อาจารย์จะทำงานข้ามคณะของตัวเองเป็นไปได้ยากมาก ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือแต่ละคณะมีวัฒนธรรมองค์กรของตนเอง มีความรู้สึกเป็น “อัตลักษณ์” ของตนเองสูง จนหลายครั้งสูงกว่าอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเสียอีก (สังเกตได้จากท่าทีของนิสิตทั่วไปที่รู้สึกผูกพันกับคณะของตัวเองมากกว่าผูกพันกับมหาวิทยาลัย นิสิตจะมองตัวเองว่าเป็น “เด็กอักษร” หรือ “เด็กนิเทศ” ก่อน “เด็กจุฬา” ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วไปไม่มีแบบนี้ นักศึกษาของ Harvard ในสหรัฐอาจมีความภูมิใจที่ได้เรียนที่สถาบันนี้ แต่ไม่มีใครมองตัวเองว่าเป็น “เด็กอักษร” หรือ “เด็กนิเทศ” เพราะทุกคนมองตัวเองว่าเป็น Harvard student เท่านั้น) ทางแก้เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นรีบด่วน สิ่งแรกที่มหาวิทยาลัยควรทำคือแยกเอาหลักสูตรที่มีสภาวิชาชีพบังคับอยู่ออกจากหลักสูตรที่ไม่มี เหตุผลก็คือว่าการปรับเปลี่ยนหลักสูตรที่มีสภาวิชาชีพทำได้ยากกว่าเนื่องจากต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาวิชาชีพด้วย (อันที่จริงการปรับเปลี่ยนหลักสูตรวิชาชีพแบบนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่ไม่มีเนื้อที่เหลือพอที่จะอภิปรายถึงประเด็นนี้ในที่นี้) ในมหาวิทยาลัยหลักสูตรระดับปริญญาตรีที่ไม่มีสภาวิชาชีพ ก็ได้แก่หลักสูตรในคณะอักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์ ลักษณะร่วมกันของวิชาการในคณะเหล่านี้คือเป็นวิชาการที่มุ่งเรียนเพื่อรู้เป็นหลัก ไม่ใช่เรียนเพื่อไปเป็นสถาปนิก หรือวิศวกร หรือสัตวแพทย์ หรือผู้พิพากษา (ซึ่งแต่ละวิชาชีพมีสภาของตัวเอง) และวิชาการของคณะเหล่านี้ก็รวมเอาวิชาการหลักๆในสาขาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน ประเด็นก็คือว่าแทนที่มหาวิทยาลัยจะแบ่งส่วนงานออกเป็นคณะต่างๆเหล่านี้ ก็ควรจะรวมส่วนงานเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้การจัดหลักสูตรที่มีการผสมผสานข้ามสาขาวิชาเป็นไปได้ เนื่องจากปัญหาของโลกไม่ได้แบ่งตัวเองออกตามคณะหรือตามสาขาวิชา (discipline) การจัดหลักสูตรแบบนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มหาวิทยาลัยควรต้องรีบจัดการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่ภายในประเทศไทย แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกด้วย การรวมคณะเหล่านี้เข้าด้วยกันก็มีเป้าหมายอีกประการหนึ่งคือทำลายความรู้สึกยกย่องอัตลักษณ์ของแต่ละคณะ เพราะนิสิตทุกคนควรจะผูกพันกับมหาวิทยาลัย สำนึกตนเองว่าเป็น “นิสิตจุฬา” ไม่ใช่นิสิตคณะใดคณะหนึ่งเท่านั้น
ข้อดีประการหนึ่งของการปรับโครงสร้างส่วนงานแบบนี้ก็คือ การเรียนสาขาวิชาที่เคยต้อง “ข้ามคณะ” สามารถทำได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่นนิสิตคนหนึ่งอาจจะเอกชีววิทยา และเรียนวรรณคดีเป็นวิชาโท จุดเชื่อมของสองวิชานี้ก็คือว่า ทรรศนะของชาร์ลส์ ดาร์วินเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมีปรากฏอยู่เป็นอันมากในงานวรรณกรรมต่างๆ นิสิตก็จะเข้าใจชีววิทยาไม่เพียงแต่ในมิติของวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเข้าใจมิติของวิทยาศาสตร์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและงานศิลปะอีกด้วย หรือนิสิตอีกคนหนึ่งอาจเอาจิตวิทยาและเรียนสรีรวิทยาเป็นวิชาโท ซึ่งสองวิชานี้ก็เกี่ยวข้องเป็นอย่างมากในด้านพื้นฐานทางสรีรวิทยาของจิตใจ หรืออีกคนหนึ่งอาจเอกดนตรีและโทคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็ทำให้สามารถใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างสรรค์งานดนตรีใหม่ๆได้ การจะทำเช่นนี้ได้ต้องออกแบบหลักสูตรปริญญาตรีใหม่ โดยทิ้งความยึดติดเดิมๆกับหลักสูตรของคณะที่ตนเองเคยสังกัดอยู่ และออกแบบหลักสูตรใหม่โดยมุ่งที่ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นเป้าหมาย
ในกรณีของอินเทอร์เน็ต นิสิตอาจเลือกภาษาศาสตร์หรือภาษาไทยเป็นวิชาเอก และมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการใช้ภาษาและวาทกรรมบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งความขัดแย้งนี้ก็ปรากฏอยู่ในการใช้ภาษาด้วย และเลือกการเมืองการปกครองเป็นวิชาโท เนื่องจากความขัดแย้งทางวาทกรรมมีที่มาจากการเมืองเป็นสำคัญ ส่วนการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา เป้าหมายไม่ได้มุ่งให้นิสิตมีความรู้รอบตอบสนองสังคมได้ทันท่วงทีแต่เพียงอย่างเดียว แต่มุ่งผลิตให้นิสิตบัณฑิตเป็น “มืออาชีพ” (professional) ในด้านของตนเองด้วย ซึ่งในกรณีของส่วนงานที่เน้นวิชาการบริสุทธิ์ที่กล่าวถึงนี้ก็คือผู้ที่มีความสามารถสร้างความรู้ใหม่ให้แก่สังคมได้ การยุบคณะตามที่เสนอมานี้จะทำให้การถ่ายเทอาจารย์ข้ามสาขาวิชาเป็นไปได้ง่ายขึ้น และควรมีข้อบังคับว่ากรรมการสอบวิทยานิพนธ์จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ไม่ได้มาจากสาขาวิชาหลักที่นิสิตทำอยู่ เช่นนิสิตทำวิทยานิพนธ์ในสาขาจุลชีววิทยา ก็จะต้องมีกรรมการสอบอย่างน้อยหนึ่งคนที่มาจากสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่นชีวเคมีมาร่วมสอบด้วย ทั้งนี้เพื่อให้มุมมองที่เป็นประโยชน์ที่ไม่สามารถหาได้จากการหมกมุ่นอยู่แต่สาขาวิชาแคบๆของตนเองเท่านั้น นอกจากนี้หลักสูตรปริญญาโทและเอกก็ควรมีข้อบังคับว่านิสิตต้องเรียนรายวิชาในสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
ข้อเสนอในการปรับโครงสร้างของมหาวิทยาลัยตามที่เสนอมานี้ อาจดูทำได้ยาก แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพียงเพราะว่าเรายังยึดติดอยู่กับวิธีคิดแบบเก่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหลังฝังใจว่าเราผูกพันอยู่กับคณะ ฯลฯ แต่หากเราพิจารณาว่าความท้าทายของโลกและสังคมกำลังถาโถมเข้าใส่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างไม่หยุดยั้ง และหากเราไม่ทำอะไรเราก็จะล้าหลังออกไปเรื่อยๆ การคิดว่ามหาวิทยาลัยควรต้องทำอะไรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขความขัดแย้งก็คงเป็นเพียงการคิดเล่นสนุกๆเท่านั้น
13.738967
100.533439